
ปอดแฟบ ภาวะที่เสี่ยงต้องระวังในผู้ป่วยติดเตียง

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด เพราะหากขาดการดูแลที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ หนึ่งในภาวะที่พบได้บ่อยคือ ปอดแฟบ ซึ่ง ปอดแฟบ คือ ภาวะที่ส่งผลให้ไม่สามารถหายใจได้อย่างเต็มที่ ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยหอบได้ง่าย จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลและรักษาอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
ปอดแฟบ (Atelectasis) คืออะไร
ภาวะปอดแฟบ คือ (Atelectasis) ภาวะที่เนื้อเยื่อปอดไม่สามารถขยายตัวได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนในร่างกายเกิดขึ้นได้ไม่สมบูรณ์ สาเหตุหลักมักเกิดจากการที่ถุงลมปอดถูกกดทับหรือมีการอุดตันในทางเดินหายใจ ทำให้อากาศไม่สามารถเข้าสู่ถุงลมได้ตามปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจลำบากและเหนื่อยง่าย
ปอดแฟบเกิดจากอะไรบ้าง
ปอดแฟบเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละสาเหตุล้วนส่งผลต่อการทำงานของปอดในลักษณะที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้ดังนี้
1. ทางเดินหายใจอุดตัน
การอุดตันของทางเดินหายใจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปอดแฟบ โดยอาจเกิดจากการสะสมของเสมหะในหลอดลม การสำลักอาหารหรือน้ำ หรือมีสิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจ นอกจากนี้ ในผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ หากตำแหน่งของท่อไม่เหมาะสมก็อาจทำให้เกิดการอุดตันและนำไปสู่ภาวะปอดแฟบได้
2. แรงกดจากภายนอกปอด
ปอดแฟบเกิดจากการมีแรงกดทับจากภายนอกที่ทำให้ปอดไม่สามารถขยายตัวได้อย่างเต็มที่ เช่น การมีน้ำหรือเลือดในช่องเยื่อหุ้มปอด การมีก้อนเนื้องอกในช่องอก หรือการมีความผิดปกติของกระดูกสันหลังที่ส่งผลให้ทรวงอกผิดรูป ทำให้ปอดมีพื้นที่สำหรับการขยายตัวลดลง
3. ปอดทำงานผิดปกติ
ความผิดปกติในการทำงานของปอดเองก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปอดแฟบได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะขาดสารลดแรงตึงผิวในถุงลม ทำให้ถุงลมไม่สามารถคงรูปร่างและขยายตัวได้ตามปกติ มักพบในทารกที่คลอดก่อนกำหนด หรือผู้ป่วยที่มีเนื้อปอดบางส่วนหายไป
4. โรคประจำตัว
โรคประจำตัวบางอย่างก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปอดแฟบได้เช่นกัน อย่างโรคปอดอักเสบ โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคทางระบบประสาทที่ส่งผลต่อการควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจ นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีก้อนเนื้อในปอดหรือทรวงอกก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะปอดแฟบได้เช่นกัน
อาการผู้ป่วยปอดแฟบ
ผู้ป่วยที่มีภาวะปอดแฟบจะมีอาการแสดงที่สังเกตได้ชัดเจน โดยเฉพาะอาการหายใจลำบากและเหนื่อยง่ายแม้ทำกิจกรรมเพียงเล็กน้อย บางรายอาจมีอาการไอ หายใจมีเสียงวี้ด และสังเกตเห็นการขยายตัวของทรวงอกที่ไม่สมดุล ในกรณีที่อาการรุนแรง ผู้ป่วยอาจมีอาการตัวเขียวคล้ำ เนื่องจากร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
ใครเสี่ยงต่อเกิดปอดแฟบบ้าง
ถึงแม้ว่าผู้ป่วยติดเตียงจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดปอดแฟบ แต่ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญได้แก่
- ผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานาน
- ผู้ที่เพิ่งได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดบริเวณช่องอกหรือช่องท้อง
- ทารกแรกเกิดโดยเฉพาะที่คลอดก่อนกำหนด
- ผู้สูงอายุที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว
- ผู้ป่วยโรคระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
- ผู้ที่มีภาวะอ้วนมาก
การรักษาปอดแฟบ
การรักษาภาวะปอดแฟบจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุของการเกิดโรค โดยแนวทางการรักษาหลักประกอบด้วยการกำจัดสิ่งกีดขวางทางเดินหายใจ การทำกายภาพบำบัดทรวงอก การฝึกการหายใจเข้าออกลึก ๆ และการใช้อุปกรณ์พิเศษเพื่อช่วยในการหายใจ ในกรณีที่มีสาเหตุมาจากโรคประจำตัว แพทย์จะให้การรักษาที่ต้นเหตุควบคู่ไปด้วย
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากปอดแฟบ
หากปอดแฟบไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญมีดังนี้
ออกซิเจนในเลือดต่ำ
เมื่อปอดไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนจะเกิดขึ้นได้ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดต่ำลง ผู้ป่วยจะมีอาการเขียวคล้ำ หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก และอาจเกิดภาวะสับสนเนื่องจากสมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
หายใจล้มเหลว
ในกรณีที่ปอดแฟบมีความรุนแรงมาก อาจนำไปสู่ภาวะหายใจล้มเหลวได้ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนได้เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดและออกซิเจนต่ำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญต่าง ๆ
การดูแลผู้ป่วยปอดแฟบ
การดูแลผู้ป่วยปอดแฟบต้องทำอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยเน้นการจัดท่าทางที่เหมาะสม การพลิกตะแคงตัวทุก 2 ชั่วโมง และการทำกายภาพบำบัดทรวงอกอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ป่วยที่รู้สึกตัวดีควรได้รับการฝึกการหายใจเข้าออกลึก ๆ และการไออย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การดูแลโภชนาการและการป้องกันการสำลักก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
สรุป
การดูแลและป้องกันการเกิดภาวะปอดแฟบเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ดูแลผู้ป่วยไม่ควรมองข้าม เนื่องจากภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ การเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และวิธีการดูแลที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะการจัดท่าทางที่เหมาะสม การทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอ และการสังเกตอาการผิดปกติเพื่อให้การรักษาได้ทันท่วงที ดันั้นเราควรให้ความสำคัญให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย สำหรับใครที่กำลังมองหา ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ Senera Senior Wellness เราพร้อมดูแลผู้ป่วย โดยบุคลากรที่เชี่ยวชาญทางการดูแลผู้ป่วยสูงอายุโดยเฉพาะ เพื่อช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น
